บทที่ 12
จะเข้าใจพระเจ้าได้ต้องกระตุ้นการทำงานของต่อมไพเนียลและพิทูอิตารี่ให้ได้ก่อนเป็นคำตอบสุดท้าย
เดิม ครูเก๋ตั้งใจเอาไว้ว่า จะแปล Thirumandiram วันละ 11 บท แต่คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะยิ่งแปล ก็ยิ่งหยุด...หยุด เพื่อตีความ ขบคิด ค้นคว้า แปลความหมายที่ซ่อนเร้นเอาไว้
3,047 บท ของ Thirumandiram แค่แปลวันละบท ก็ใช้เวลา 8 ปี แล้วค่ะ ตามอ่านตามเป็น FC กันยาวไปนะคะ
บทที่ 12 ด้านล่างนี้ นำมาซึ่งความอัศจรรย์ใจมากๆ กับ การแปลเพียงแค่ 3 บรรทัด ที่ท่าน Thirumular ได้เขียนเอาไว้
---
บทที่ 12 Beyond Comprehension
Humans and celestilas go after gods who pass away,
They do not realize that He of the fore-head eye is the Supreme,
One-pointed in His concern for His devotees.
บทที่ 12 เหนือกว่าความเข้าใจ
มนุษย์และสรวงสวรรค์ มุ่งมั่นตามหาพระเจ้าหลายองค์ผู้จากไป
พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า พระองค์ผู้มีดวงตาที่หน้าผากนั้นแหละ คือ องค์ผู้สูงสุด
ผู้อุทิศตนให้แก่พระองค์ ต้องตระหนักรู้ ณ จุดนั้น หนึ่งเดียว
จาก 3 บรรทัดนี้ ครูเก๋มีความฉุกใจในเรื่องของ Fore-Head Eye จึงค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ดังนี้ค่ะ
Fore-Head Eye คือ ดวงตาที่หน้าผากกึ่งกลางระหว่างคิ้ว
Fore-Head Eye
Pineal Gland
Eye of Horus
และ ตำแหน่งของจักระที่ 6 คือ สิ่งเดียวกัน
Pineal Gland คือ ดวงตาที่สาม การทำงานของต่อมไพเนียล ก็ยังลึกลับ ไม่สามารถเป็นที่เข้าใจได้ทั้งหมด มีตำแหน่งลึกลงไปในสมอง ซึ่งนักอภิปรัชญาตลอดประวัติศาสตร์ล้วนกล่าวถึงความสำคัญและความลึกลับของต่อมไพเนียล
ต่อมไพเนียล ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง ความตระหนักรู้ของมนุษย์ และ โลกของธรรมชาติที่มองไม่เห็น เมื่อส่วนโค้งของต่อมใต้สมอง สัมผัสกับต่อมไพเนียล จะเกิดการส่องแสงวาบของการมีตาทิพย์ หรือ การรู้ที่เหนือมนุษย์ ในชั่วขณะ แต่หากจะให้การทำงานของสองต่อมนี้ ทำงานด้วยกันอย่างนี้อย่างต่อเนื่องนั้น บุคคลหนึ่ง ต้องฝึกฝนไม่ใช่แค่เป็นปี แต่ต้องอุทิศตนทั้งชีวิต ในหลายๆ ชีวิต ตาที่สามนี้ คือ ตาไซคลอปส์ หรือ Cyclopean Eye ในสมัยโบราณ เนื่องจากเป็นอวัยวะ ที่เป็นการมองเห็นด้วยจิตสำนึก หรือ สติ ก่อน ที่ตาทางร่างกายจะมองเห็นหรือถูกสร้างขึ้น เพื่อการรับรู้
รู้ไหมว่า การนั่งบนนิ้วเท้า กระตุ้นการทำงานของต่อมไพเนียลและพิทูอิตารี่ได้? สมัยโบราณรู้เรื่องนี้ดี และสังเกตด้วยว่า ดวงตาแห่งฮอรัสนั้น ถูกหุ้มไว้รอบๆ ต่อมไพเนียล และตัวของต่อมเองนั้น เหมือนรูปกรวย
หายสงสัยเลยนะคะว่า ทำไมศาสตร์โบราณต่างๆ จึงทำงานกับเท้า เช่น การนวด การเต้นกระแทกตรงจุดจมูกเท้า หรือแม้แต่ท่านั่งเทพนมของคนไทย หรือในการฝึกโยคะบางประเภท เช่น หยินโยคะ ก็เน้นการนั่งบนจมูกเท้า ในลักษณะคล้ายคลึงกับท่าเทพนม
และโดยส่วนตัวของครูเก๋นั้น ซึ่งทำงานกับศาสตร์แห่งเสียงหัวเราะ ซึ่งท่านสามารถติดตามงานของครูเก๋ได้จาก FB Page: คืนเสียงหัวเราะที่หายไป by ครูเก๋ วรารักษ์ มีความรู้สึกสะกิดใจมากเลยว่า การหัวเราะ เกี่ยวข้องกับตาที่สาม นี้อย่างไร? และต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
และครูเก๋ ก็ได้ค้นพบแล้วว่า หากปราศจากการหัวเราะ การเชื่อมโยงของต่อมไพเนียลและพิทูอิตารี่ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ค่ะ และ อาจมีคำตอบที่ตามมาว่า ทำไมคนในยุคโบราณ จึงสามารถใช้งานของตาที่สามได้ง่ายกว่าคนในยุคของเรา ดังที่เราสามารถเห็นได้จากอารยธรรมโบราณต่างๆ อันช่างยิ่งใหญ่ เหนือความคาดเดาของเราเหลือเกิน ?
ครูเก๋คิดว่า ครูเก๋ได้คำตอบแล้ว
และไม่ยากเกินจะทวงคืนอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์กลับคืนมาค่ะ
คำตอบของการทวงคืนพลังของมนุษย์นั้น อยู่ที่ การหัวเราะ และอาจจะเป็นคำตอบสุดท้าย ของการก้าวเข้าสู่ยุคทอง หรือ Golden Age ที่ทุกคนรอคอย
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในปัจจุบัน มีตัวกระตุ้นเร้าความเครียดมากมายเหลือเกิน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น
- ความสัมพันธ์ในครอบครัว
- ความขัดแย้ง
- ความกังวลเรื่องการเงิน
- การแสวงหาความสำเร็จ
- การสอบต่างๆ
- ความสัมพันธ์ของเพื่อน
- การตัดสินใจต่างๆ
- สถานการณ์ใหม่ๆ ที่ต้องรับมือ
ซึ่ง ตัวกระตุ้นเร้าความเครียดเหล่านี้ หากจัดการได้ ก็ไม่เกิดปัญหาใด แต่หากจัดการไม่ได้ มนุษย์ก็จะเกิดอาการเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ และในที่สุด ก็เกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เหมือนที่มนุษย์ยุคปัจจุบัน กำลังประสบ
ในร่างกายของมนุษย์นั้น มีแกนที่เรียกว่า แกน HPA หรือ HPA AXIS อยู่ค่ะ ซึ่งคำว่า HPA นี้ ก็ย่อมาจาก
H = Hypothalamus
P = Pituitary
A = Adrenal
Hypothalamus คือ ส่วนล่างของสมองส่วนหน้าที่ยื่นออกมาติดกับต่อมใต้สมอง เซลล์ประสาทของสมองบริเวณนี้ส่วนมากทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนประสาทหลายชนิด ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆ ของสมองหรือร่างกาย ควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต
Pituitary เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดเล็ก และมีความสำคัญมากที่สุด ในการสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ กัน
Adrenal หรือ ต่อมหมวกไต เป็นต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆหลายชนิด
ในขณะที่เจออันตรายหรือความเครียด แกน HPA จะส่งสัญญาณให้ ต่อมหมวกไต สร้างฮอร์โมนอะดรินาลินและคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น และหลั่งเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อ สร้างระบบ สู้หรือหนี (Fight or Flight) ตามสัญชาตญาณของมนุษย์
โดยที่ในขณะนั้น จะระงับการทำงานของ ไฮโพทาลามัส และ พิทูอิตารี่ เพื่อให้ต่อมหมวกไต ทำงานสัมพันธ์กับการทำงานของระบบซิมพาเทติก และหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า คอร์ติโคสเตียรอยด์ และ อะดรินาลิน เพื่อให้รับมิอกับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้
ฮอร์โมนเหล่านี้ จะเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ความดันเลือด การเผาผลาญ เปิดหลอดเลือด ให้กับกล้ามเนื้อขนาดใหญ่
ระบบการส่งสัญญาณของ แกน HPA นี้ จะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อเกิดการสั่นเทาในระบบประสาทหรือ Neurogenic Tremors เท่านั้น เนื่องจาก อยู่ภายใต้การควบคุมของ Brain Stem หรือ ก้านสมอง ซึ่ง ควบคุม สัญชาตญาณ การหายใจ อัตราการเต้นหัวใจ ความดันเลือด ของมนุษย์ และ ควบคุม ปฏิกิริยา ในการกระตุ้นให้เกิดการสั่นเทา
การสั่นเทาในระบบประสาทเป็นส่วนหนึ่ง ของความทรงจำ เชิงกระบวนวิธี ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ซึ่งต้องเกิดขึ้น เพื่อให้กระบวนการตอบสนองภัยแบบสู้ หรือ หนี ภายในร่างกายเสร็จสมบูรณ์ เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของก้านสมอง
แล้ว การสั่นเทาในระบบประสาทหรือ Neurogenic Tremors จะเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง?
ในเมื่อการสั่นเทานี้ ควบคุมโดยส่วนสัญชาตญาณของก้านสมอง ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมทางความคิดและจิตใจ การสั่นเทานี้ ก็ต้องเกิดขึ้นเอง โดยระบบประสาทอัตโนมัติ เท่านั้นค่ะ
แล้วกระบวนวิธี ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ในการสร้างการสั่นเทา อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อให้ แกน HPA กลับมาทำงานตามปกตินั้น จะเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง?
อาจจะมีหลายวิธี ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาการสั่นเทานี้ให้เกิดขึ้นได้
แต่ครูเก๋ อยากพูดถึง วิธีที่ง่ายที่สุด ที่ร่างกายจะสามารถเกิดการสั่นเทาขึ้นมาได้ค่ะ
เมื่อร่างกายเกิดการสั่นเทาขึ้น จากระบบประสาทอัตโนมัติ แกน HPA จึงจะได้รับสัญญาณว่า อันตราย สภาวะฉุกเฉิน หรือ ความเครียดนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว ร่างกายก็จะมีการฟื้นคืนระบบการทำงานของ ไฮโพทาลามัส และ พิทูอิตารี่ สารเคมีในร่างกายจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ สุขภาพฟื้นคืน
และหาก การทำงานของต่อมพิทูอิตารี่ เกี่ยวข้องกับ การทำงานของตาที่สามโดยตรง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของมนุษย์ การเข้าใจโลกของธรรมชาติที่มองไม่เห็น การรู้ การมองเห็นด้วยจิตสำนึก หรือ สติ แต่ มนุษย์ ลืม การสั่นเทา เพื่อให้แกน HPA กลับมาทำงานได้ตามปกตินี้
ด้วยการ ลืมหัวเราะ และ ถูกกระตุ้นด้วยความเครียดต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
แล้วมนุษย์ จะเข้าใกล้พระเจ้า ได้อย่างไร?
ปัจจัยความเครียดต่างๆ ของคนในยุคปัจจุบัน ทำให้มนุษย์อยู่ในสภาวะของการหลั่งฮอร์โมน เกี่ยวกับการสู้และถอยหนีอยู่ตลอดเวลา แทบทุกคน กำลังประคอง คอร์ติซอลระดับต่ำเรื้อรัง อยู่ในความกดดัน ต้องระมัดระวังตลอดเวลา สมองส่งข้อความรับรู้อันตรายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความจำ และความรู้ความเข้าใจ เกิดการเร้าอารมณ์ การหลงผิด ความวิตกกังวล ความโกรธรุนแรง
นอกจากการใช้การสั่นเทาของ ระบบ Neurogenic Tremors แล้ว ครูเก๋คิดว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การสั่นสะเทือน หรือ การสร้างคลื่นความถี่ เพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือน หรือ Vibration ในบริเวณต่อมไพเนียล และ พิทูอิตารี่ ซึ่งอาจจะ สามารถทำได้ อีกหลายวิธี ซึ่ง เราคงต้องเดินทางค้นหาวิธีการ และ คำตอบ ที่ Thirumandiram ได้ทิ้งคำใบ้ไว้ให้กับพวกเรานี้ต่อไป
บทความนี้ ก่อนหน้านี้ และ ต่อจากนี้ ทั้งหมด 3,047 บท เป็นการแปลและถอดความจาก Tirumandiram "คู่มือมนุษย์จากโบราณกาล" มหาสมุทรแห่งประสบการณ์ จิตวิญญาณและความลึกลับของธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นสารอีกฉบับหนึ่ง ที่พระเจ้าเขียนเอาไว้ให้มนุษย์เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนเพื่อค้นพบ "ไฟ" ในตน ผ่าน Siddhar Thirumoolar นักบุญชาวทมิฬ ภาคใต้ของอินเดีย เมื่อ 7000 ปีก่อน โดย ปรัชญาพื้นฐานทั้งหมดที่ปรากฏคือ "ความรัก" ซึ่งครูเก๋จะค่อยๆ แปลและถอดความตามความเข้าใจและพิจารณาวันต่อวัน และยังไม่มีคนไทยคนใดที่เข้าใจเรื่องของ Thirumandiram ติดตามบล็อกนี้เราจะศึกษาไปพร้อมกันนะคะ
ขอแสดงความเคารพแด่ Siddhar Thirumoolar ผู้นำทางและเป็นแสงสว่างให้แก่ดวงวิญญาณที่ยังหลงทางในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ได้รับพร สู่หนทางแห่งการตื่นรู้สู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
งานแปลและถอดบทความนี้ ขออุทิศให้แด่คำสอนของ Thirumoolar
ขอท่านและองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้โปรดนำทางสู่การถ่ายทอดต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างถูกต้องที่สุดด้วย
ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง
30/12/2020
ติดตามครูเก๋ต่อได้ที่
ข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการเกี่ยวกับ Neurogenic Tremor:
https://www.omnibalance.se/en/tre%C2%AE/neurogenic-tremors-11655567
https://thenurturefoundation.com/unleashing-the-unfathomable-power-of-neurogenic-tremors/
https://www.orchardvalleycounselling.ca/neurogenic-tremors/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น