Thirumandiram ตำนานโบราณจากอินเดียใต้ ตอนที่ 10 Transitoriness of Wealth

Thirumandiram ได้พูดถึง Wealth หรือ ความร่ำรวย ไว้อย่างน่าสนใจมากค่ะ ด้านล่างนี้สรุปมาจากตอนที่ 168-176 ที่ได้พูดถึง Transitoriness of Wealth หรือ ความไม่ยั่งยืนของทรัพย์สมบัติ เอาไว้ค่ะ


Thirumandiram ได้บอกไว้ว่า Kingly Regalia, Domains and Riches are Impermanent. เครื่องราชกกุธภัณฑ์และความร่ำรวยทั้งหลายเป็นสิ่งไม่เที่ยง เมื่อใดที่เราตั้งจุดประสงค์ของการมีชีวิตไว้ที่การค้นหาพระเจ้า เราจะไม่ต้องการสิ่งใดอีกเลย 


Wealth waxes and wanes like Moon. 

ทรัพย์สมบัติมีขึ้นมีลงเหมือนพระจันทร์ ต่อให้จันทร์ส่องแสงสว่างแค่ไหนในความมืด ก็มีอันลับไป เหตุไฉน เราจึงพูดกันว่า ไม่มีอะไรดีกว่าความร่ำรวยอีกแล้ว แต่หากเราตามหาพระเจ้าอย่างไม่ลดละ ทรัพย์สมบัติที่ดีที่สุดแห่งสรวงสวรรค์จะถูกเทลงมายังแทบเท้าของเรา 


Your shadow is with you, Does it help you? How about Wealth then?

เงาก็อยู่กับเรา เงาช่วยอะไรเราได้ไหม? แล้วความร่ำรวยล่ะจะเป็นอย่างไร? มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ที่บอกว่า ความร่ำรวยนั้นเป็นของเขา การจ้องมองดูเงาของตัวเองไม่ว่าจะใกล้แค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ชีวิตที่มากับร่างกายนี้ สักวันก็ต้องจากไป 


The Bee stores Honey only to be appropriated by others, So is your Hoarded Wealth. 

ผึ้งเก็บน้ำผึ้งไว้เพื่อจัดสรรไว้ให้ผู้อื่นเท่านั้น ความมั่งคั่งที่สะสมไว้ของเราก็เช่นกัน ผึ้งงานบินจากดอกหนึ่งไปสู่ดอกหนึ่ง ค้นหา ดอมดม กักเก็บน้ำผึ้งอันหวานหอมของพวกมัน แต่ไม่ช้า ขโมยก็ย่องเข้ามาอย่างเงียบๆ ขุดขโมยความมั่งคั่งที่สะสมนั้นเอาไป ทรัพย์สมบัติทางโลกของเรา ก็เป็นเรื่องราวซ้ำๆ เกิดขึ้นอย่างนั้นเหมือนกัน


Wealth is a Flood that Ebbs and Flows.

ความมั่งคั่งทางทรัพย์สมบัติก็เหมือนน้ำท่วมที่ไหลบ่า มีทั้งด้านดีและด้านที่ต้องตรึกตรอง อย่าติดกับดักวังน้ำวนของทรัพย์สมบัติเลย แต่จงเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกจากวังน้ำวนนั้นให้ทันก่อนจะถูกสูบไปดั่งเรือน้อยที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก แล้วทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็หายวับไป จะเหลืออะไรไว้บ้าง? หากเราอุทิศตนให้กับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ในท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่เราต้องเจ็บปวด จะไม่มีใครสามารถช่วยเราได้เลย


Worldly Desires are Never- Ending.

ความต้องการทางโลกไม่มีวันจบ ความต้องการของเราเติบโตขึ้นทุกวัน แต่จะไม่สามารถค้นพบความจริงได้เลย คนหน้าเดิมๆ เหล่านั้นที่ยิ้มให้เรา เข้ามาหาเรา เคารพก้มหัว ด้วยความหลอกลวงในใจ สักวันหนึ่งนั้น พวกเขาก็จะจากไป โดยไม่มีคำขอโทษเลย 


All your Wealth cannot Bribe the Death away.

ทรัพย์สมบัติทั้งปวงของเราไม่สามารถช่วยเราให้หนีจากความตายได้ เมื่อพลังแห่งชีวิตได้จากร่างกายนี้ ก็ไม่มีวันที่จะทวงคืนกลับได้เลย เราต้อง คิด คิด ถึงพระเจ้า ยมฑูตยังปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างไม่มีวันหยุดพัก และไม่ปราณีต่อลมหายใจอุ่นๆ ของเราเลย


ต่อจาก Transitoriness of Wealth แล้ว Thirumandiram ก็พูดถึง Transitoriness of Youth ความไม่ยั่งยืนของวัยเยาว์ เอาไว้ในบทที่ 177-186 ค่ะ Thirumandiram บอกไว้ว่า Rising Sun Sets; Glowing Youth Fades. ก็เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นแล้วตกไป ความเปล่งประกายของวัยเยาว์ก็จะเลือนหายไปเช่นนั้น ดั่งเช่นพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก แล้วตกไปทางทิศตะวันตก เราไม่มีวันเข้าใจความจริงนี้เลยดั่งคนที่ตาบอดฉะนั้น เราทุกคนเติบโตมาแล้วก็ต้องตายจากไปค่ะ เพราะอะไร เราจะไม่มีวันเข้าใจเลย...


Even a Life-Time is not enough to know Him.

ต่อให้ทั้งชีวิตนี้เราก็จะไม่มีวันเข้าใจในพระเจ้าค่ะ ต่อให้ได้ต่อเวลาชีวิตออกไปยืดยาวสักแค่ไหนก็ไม่มีวันเข้าใจ แต่กระนั้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิต เราต้องยึดความคิดและจิตใจไว้ที่พระเจ้าค่ะ Thirumandiram ได้บอกเอาไว้อย่างนั้นว่า While Life still Throbs, Fix your mind on Lord. เพราะร่างกายนับวันก็จะยิ่งเสื่อมสลายลงไป แต่พระเจ้าเท่านั้น...เป็นหนทางแห่งอมตะนิรันดร์


Youth is Sugar-cane; Age is Nux Vomica.

เมื่อเราดูดกินน้ำอ้อย ตอนแรกๆ มันก็หวานใช่มั๊ยคะ แต่พอถึงแกนกลางเราก็กินไม่ได้ อายุของเราก็เป็นเช่นนั้น จากความหวานในวัยเยาว์ ก็จะค่อยๆ ขมลงไป ตลอดชั่วอายุนี้ เราต้องนึกถึงพระเจ้าจริงๆ วันแล้ววันเล่า หลังตื่นนอนในทุกๆ วัน หลังเข้านอนในทุกๆ คืน แล้วเราจะไม่หลงหายไปจากความรักของพระเจ้าค่ะ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา สามารถทิ้งเราไปได้ในทุกเวลา แล้วร่างกายนี้ก็จะเสื่อมสลายไปด้วย


เราเห็นก็แต่ภายนอกของพระอาทิตย์ เท่าที่ตาของเราจะมองเห็น ที่เราไม่รู้จักคือพระเจ้าที่อยู่ภายในที่ทำให้เรามองเห็น และ ทั้งอยู่ภายในของพระอาทิตย์ และเพราะเราไม่รู้จัก เราจึงต้องพลาดสวรรค์ลงสู่นรก ครั้งแล้วครั้งเล่า เราพลาดมากค่ะ...มนุษย์ที่น่าสงสารไม่ทันได้คิดถึงพระเจ้า 


Thirumandiram ได้พูดถึงพระเจ้าไว้ว่า "Of the Lord who dwells within with sixteen Kalas - พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ใน Kalas ทั้ง 16" 

 


The 16 Kalas คืออะไร? พระเจ้าสถิตอยู่ในคุณสมบัติทั้ง 16 นี้ค่ะ คือ ความเมตตา ความอ่อนโยน ความอดทนในความสงบ ความใจเย็น ความมั่นคง ความเจริญทางจิตวิญญาณ ความร่าเริง ความปลาบปลื้มใจ ความรู้สึกของความเหมาะสมอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน การทำสมาธิ ความสงบเงียบ ความประพฤติเอาการเอางาน ความมานะพยายามในกิจการงาน ความไม่เอามาเป็นอารมณ์ ความใจกว้าง ความตั้งอกตั้งใจเอาใจใส่


อยากให้พระเจ้าอยู่กับเรา แค่ใส่คุณสมบัติทั้ง 16 นี้เข้ามาในตัวของเราเองค่ะ

นี่เป็นคำตอบที่ ว้าว! มากเลยนะคะ แต่เพราะเราไม่เข้าใจในสิ่งนี้ เราจึงตั้งคำถามว่า ทำไมเราจึงต้องเกิดมาในท้องของแม่ด้วย แล้วก็ต้องตาย...เกิดแล้วตายอีก...ครั้งแล้วคร้้งเล่า -- Then we wonder why we enter the mother's womb, And later pass away again and again --


เพราะฉะนั้น ก่อนที่ความอ่อนเยาว์ของเราจะตายไป จงสรรเสริญพระเจ้าค่ะ สรรเสริญพระเจ้าอย่างไร คงจะได้คำตอบแล้วใน 16 Kalas สรรเสริญอย่างนั้น ในตัวของเราเองค่ะ ใส่คุณสมบัติเหล่านั้นเข้ามาในตัวของเรา ก่อนวัยเยาว์ของเราจะจากไป ด้วยหัวใจสุดจิตใจของเรา ไม่ต้องรอให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว! 



















ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Tirumandiram "คู่มือมนุษย์จากโบราณกาล" ตอนที่ 1 มหาสมุทรแห่งประสบการณ์ จิตวิญญาณและความลึกลับของธรรมชาติ

Thirumandiram ตำนานโบราณจากอินเดียใต้ ตอนที่ 3 ค้นหาตำแหน่งแห่งสติปัญญาจากพระเจ้า